Home / ข้อมูลความรู้ / แต่งเสือ (ภูเขา) ให้ขี่สบาย

แต่งเสือ (ภูเขา) ให้ขี่สบาย

ก่อนซื้อจักรยานภูเขามาขี่ เคยนึกว่าจักรยานมีแค่ 2 ล้อ อุปกรณ์ก็น้อย และไม่มีเครื่องยนต์ คงไม่มีปัญหายุ่งยากมากมาย แต่พอซื้อคันแรกมาขี่ไปได้สักพักหนึ่งจึงเริ่มรู้สึกว่า แฮนด์กว้างและไกลมือ เลี้ยววงแคบไม่คล่องตัว ท่อบนค่อนข้างสูง พอใส่โช๊คอั๊พหน้าก็ยิ่งสูงขึ้นอีก อานแข็งกระด้างและติดต้นขาด้านใน ทำให้ปั่นรอบเร็วไม่ถนัด เบรกดัง แม้ปรับหน้าผ้าเบรกให้เสมอแล้วก็ยังดัง ล้อก็คดอยู่เรื่อย เกียร์เปลี่ยนได้เองราวกับว่าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ต่อมาเมื่อได้รับคำอธิบายอย่างละเอียด จากช่างจักรยานซึ่งเป็นอดีตนักปั่นระดับชาติท่านหนึ่ง คือ คุณจุมพต กุหลาบแก้ว จึงได้ทราบต้นตอของปัญหา และในที่สุดก็ต้องยอมซื้อคันใหม่ ที่ตัวถังเล็กกว่าเดิม คราวนี้อุปกรณ์ต่างๆ และลูกปืน 4 จุดหลัก คือ ดุมล้อ ชุดกะโหลก ลูกกลิ้งตีนผี และแกนบันได ดีขึ้นกว่าเดิม จึงรู้สึกได้ชัดว่า ทรงตัวดี เลี้ยวคล่อง ปั่นลื่น ท่านั่งถนัด ขี่สบายกว่าเดิมเยอะเลย เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อยๆ จนครอบคลุมอุปกรณ์สำคัญของจักรยานทั้งคัน จึงเรียบเรียงเทคนิค การปรับแต่งจักรยานภูเขาสำหรับมือใหม่ มาเล่าสู่กันฟัง…

1. ขนาด (SIZE)

โดยทั่วไปหมายถึง ความยาวของ ท่อนั่ง(Seat Tube) แต่ในยี่ห้อเดียวกันนั้น คันที่มีท่อนั่งยาว จะมีท่อหน้า(Head Tube) ท่อบน(Top Tube) และท่อล่าง(Down Tube) ยาวตามไปด้วยเช่นกัน ตัวถัง(Frame)จักรยานภูเขาแต่ละรุ่น มักจะมีท่อนั่งยาวต่างกันขนาดละ 2 นิ้ว ผู้ขี่บางคนจึงอาจต้องแก้ปัญหาความไม่พอดี ด้วยการปรับเปลี่ยนคอแฮนด์ ให้สั้น-ยาว และมีองศาสูงต่ำที่เหมาะสม ประกอบกับการปรับอานให้สูง-ต่ำ และเลื่อนไปหน้ามาหลัง ให้พอดีกับผู้ขี่ได้ แต่ควรเลือกจักรยานให้มีขนาดตัวถังพอเหมาะ โดยใช้วิธีเข้าไปยืนคร่อมท่อบน สำหรับจักรยานที่มีตะเกียบหน้า(Front Fork)แบบธรรมดา ก็ให้เป้าสูงกว่าท่อบน 2-3 นิ้ว ส่วนตะเกียบหน้าแบบโช๊คอั๊พ ก็ให้เป้าสูงกว่าท่อบน 1-2 นิ้ว ทั้งนี้เพราะโช๊คอั๊พหน้าเผื่อช่วงยุบตัวไว้ ทำให้ท่อบนสูงขึ้นประมาณ 1 นิ้ว ผู้หญิงมีช่วงขายาวกว่าช่วงลำตัวค่อนข้างมาก จึงควรเลือกยี่ห้อหรือรุ่นที่มีท่อบนค่อนข้างสั้น ส่วนผู้ชายนั้นกลับกัน จึงควรเลือกท่อบนที่ค่อนข้างยาว ท่อบนที่ยาวพอดีนั้น ลำตัวผู้ขี่จะโน้มทำมุมกับแนวระนาบประมาณ 50 องศา

2. คอแฮนด์ (STEM)

มีความยาวให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 8 ถึง 15 ซ.ม. และมีมุมเงยจากแนวระนาบให้เลือกอีกหลายมุมองศา ผู้ขี่อาจมีความจำเป็นในการเปลี่ยนคอแฮนด์ ให้มีขนาดยาวขึ้น ในกรณีที่ผู้ขี่มีลำตัวและช่วงแขนยาวมาก หรือขนาดของตัวถังจักรยานเล็กกว่าตัวผู้ขี่ ซึ่งท่อบนจะค่อนข้างสั้น ก็อาจเปลี่ยนคอแฮนด์ให้มีความยาวเพิ่มขึ้นได้ หากแฮนด์สูงมากไป ก็สามารถถอดคอแฮนด์คว่ำกลับหัวลงได้ หากแฮนด์ต่ำไปก็เปลี่ยนคอแฮนด์ใหม่ ให้มีองศาสูงขึ้นได้เช่นกัน คอแฮนด์ที่สั้นจนไม่เหมาะสม กับความยาวช่วงแขนและลำตัวของผู้ขี่ จะทำให้หัวรถมีความไวมาก และบังคับรถยากขึ้น สำหรับจักรยานภูเขาแบบ DOWNHILL จะมีคอแฮนด์สั้นและองศายกสูงขึ้น จนแฮนด์สูงกว่าระดับอาน เพราะต้องชดเชยท่าขี่ขณะลงเขาไม่ให้ก้มหน้ามากเกินไป และเพื่อให้น้ำหนักตัวผู้ขี่ถ่ายมาอยู่ที่ล้อหลังมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอาการเลี้ยวไม่เข้าโค้ง และไม่ให้ตีลังกาง่ายเกินไปในขณะที่ขี่ลงเขา คอแฮนด์ที่ยาวพอดีนั้น ขณะขี่จะมองเห็นแฮนด์ทับจนล้ำแกนดุมล้อหน้า

3. แฮนด์ (HANDLEBAR)

มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบตรง(โค้งนิดหน่อย) ใช้สำหรับเส้นทางที่ไม่มีช่วงลงเขายาวๆ มีความยาวประมาณ 21-23 นิ้ว ซึ่งเท่ากับช่วงไหล่ของชาวตะวันตก จึงควรตัดปลายทั้ง 2 ข้าง ให้เหลือความกว้างเท่ากับช่วงไหล่ของผู้ขี่ ซึ่งเมื่อจับแฮนด์ทั้ง 2 ข้างแล้ว แขนควรอยู่ในลักษณะที่ขนานกัน ถ้าแขนถ่างออกกว้างมาก จะงอข้อศอกยาก และบังคับเลี้ยวไม่คล่องตัว แต่หากแขนหุบแคบจะบังคับรถได้ยาก และหายใจไม่ค่อยเต็มปอด สำหรับผู้หญิงจะมีช่วงไหล่แคบกว่าช่วงสะโพก จึงควรตัดปลายแฮนด์ให้เหลือความยาวพอดีกับช่วงกว้างของสะโพก ส่วนแบบที่ 2 คือ แบบDOWNHILL มีลักษณะคล้ายปีกนก ไม่สามารถตัดปลายได้มากนัก เพราะต้องเหลือความยาวให้พอที่จะติดตั้ง มือเบรก(Brake Lever) มือเกียร์(Shift Lever) และอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนการปรับมุมก้มเงยของแฮนด์ ก็ควรหมุนตัวแฮนด์ให้ปลายแฮนด์ทั้ง 2 ข้าง ลู่ชี้ไปทางไหล่ของผู้ขี่ เพื่อที่เวลาใช้มือจับแฮนด์แล้ว ข้อมือจะได้ไม่งอมากจนเกิดอาการชาที่มือ และจุดที่แฮนด์ต่อกับคอแฮนด์ ควรอยู่ต่ำกว่าระดับอานประมาณ 1-4 ซ.ม. ซึ่งยืดหยุ่นตามความยาวของช่วงแขน ถ้าสภาพทางขรุขระ ควรกำแฮนด์จักรยานที่มีตะเกียบแบบธรรมดาเพียงหลวมๆ ส่วนตะเกียบแบบโช๊คอั๊พ จะกำแน่นก็ได้ เมื่อเจอสถานการณ์ทางลงลาดชันที่เป็น ร่องน้ำฝน ดินลื่น หรือ ทราย ควรลดจุดศูนย์ถ่วงลง โดยการยกบั้นท้ายขึ้น แล้วใช้ขาด้านในหนีบหัวอานเบาๆ เพื่อถ่ายน้ำหนักตัวไปอยู่ที่ชุดกะโหลก(Bottom Bracket) ซึ่งเป็นจุดหมุนของชุดจาน(CrankSet) พร้อมกับงอข้อศอกและเข่าเล็กน้อย เพื่อรอซับแรงกระแทก

4. บาร์เอ็น (BAR END)

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดตั้งที่ปลายแฮนด์ทั้ง 2 ข้าง มีประโยชน์ในการใช้จับดึงเข้าหาตัว เพื่อให้ถนัดในการเพิ่มแรงเหยียบบันได(Pedal) ขณะที่ปั่นขึ้นเขา หรือเนินชันยาวๆ ควรปรับมุมองศาให้เงยจากแนวระนาบ 10 – 45 องศา ตามความถนัดของผู้ขี่ และยังมีส่วนป้องกันไม่ให้มือหลุดจากแฮนด์

5. อาน (SADDLE)

มีหลากชนิดและหลายแบบ อานเป็นอุปกรณ์แรก ที่อาจสร้างความปวดแสบปวดร้อน ให้แก่ผู้ขี่มือใหม่ ที่ไม่เคยนั่งอานมานานๆ หากไม่แน่ใจว่า ก้นกบจะแตกเป็นแผลหรือไม่ ก็ควรเลือกอานชนิดที่เป็น เจล ซึ่งมีทั้งความหนาและความนุ่ม และเลือกความกว้างของอาน ให้พอเหมาะพอสมกับความกว้างของกระดูกเชิงกราน ซึ่งผู้หญิงมักจะมีช่วงเชิงกรานกว้างกว่าผู้ชาย ส่วนมือเก่าที่ชินอานแล้ว ก็สามารถใช้อานชนิดบางและแคบได้ ซึ่งในขณะที่ปั่นรอบเร็วๆ ส่วนกว้างของอาน จะไม่ติดต้นขาด้านใน ส่วนความเป็นสปริง ก็จะขึ้นอยู่กับแบบของโครงอาน และคุณภาพของก้านรองอาน อานบางรุ่นมีรูปทรงปาดลู่ไปด้านท้าย ซึ่งเหมาะกับจักรยานแบบDOWNHILL หรือจะใช้กับจักรยานภูเขาที่มีการขี่ลงจากที่ชันบ่อยๆ ซึ่งจำเป็นต้องยกบั้นท้ายโยกไปทางล้อหลัง ก็จะสะดวกในการโยกตัวกลับ เพราะต้นขาด้านใน จะไม่ติดท้ายอานแบบปาดลู่ สำหรับการปรับความสูงของหลักอาน(Seat Post)อย่างง่ายๆนั้น ก็ปรับความสูงโดยการขึ้นไปนั่งขี่ แล้ววางส้นเท้าข้างหนึ่งไว้บนบันได ขณะที่บันไดข้างนั้นอยู่ที่ตำแหน่งต่ำสุด แล้วปรับความสูงขึ้นไปจนขาอยู่ในลักษณะยืดตรง ซึ่งเมื่อเลื่อนปลายเท้ามาวางบนบันได ในท่าขี่ปกติ เข่ายังสามารถงอได้ประมาณ 5-10 องศา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ขี่แต่ละคน แต่ไม่ควรปรับอานสูงจนเข่ายืดตรง เพราะจะเป็นตะคริวได้ง่าย ระดับความก้มเงยของอาน ก็ควรปรับให้ขนานกับพื้น หากชอบปรับอานให้ก้มนิดๆ ก็ไม่ควรปรับให้แนวอานชี้ต่ำกว่าจุดที่แฮนด์ต่อกับคอแฮนด์ ส่วนการปรับเลื่อนอานไปหน้ามาหลังนั้น ควรปรับให้แนวหลักอานอยู่กลางตัวอาน แต่สามารถปรับเลื่อนไปหน้ามาหลังได้อีกเล็กน้อย เพื่อให้อยู่ในท่าขี่ที่ยืดตัวยืดแขนได้ถนัดและมั่นคง มีสิ่งที่พึงสังเกตุว่า ท่านั่งของจักรยานภูเขา ที่ใช้ขี่ในภูมิประเทศที่เป็นทางเรียบเป็นส่วนใหญ่นั้น หากปรับเปลี่ยนคอแฮนด์ให้มีองศาต่ำๆ และยาวกว่าปกติสัก 2 ซ.ม. พร้อมกับปรับเลื่อนอานไปข้างหน้า 2 ซ.ม.เช่นกัน ผู้ขี่ก็จะอยู่ในท่าที่ก้มและโย้ลำตัวไปข้างหน้าอีก 2 ซ.ม. ก็จะคล้ายกับการเพิ่มองศาของท่อนั่งให้ตั้งขึ้น ซึ่งจะใกล้เคียงกับองศาของจักรยาน ที่ใช้สำหรับการแข่งขันนั่นเอง โดยทฤษฎีแล้ว อาจจะได้ความเร็วเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ก็เป็นท่าขี่ ที่อาจก่อให้เกิดความปวดร้าวที่ แขน ไหล่ และคอ ของผู้ขี่ได้เช่นกัน และหากผู้ขี่ไม่เคยฝึก อย่างนักกีฬาจักรยานมาก่อน ก็อาจหายใจได้ไม่ลึกพอ สำหรับภูมิประเทศที่เป็นทางลงเขายาวๆ ควรปรับลดอานลงจนต่ำกว่าแฮนด์ เพื่อชดเชยท่าขี่ขณะลงเขาไม่ให้ก้มหน้ามากเกินไป พร้อมกับปรับเลื่อนอานไปข้างหลัง เพื่อรักษาระยะห่าง ระหว่าง แฮนด์กับอานไม่ให้ชิดเกินไป

6. วงล้อ (RIM) & ซี่ลวด (SPOKE)

วงล้อมีทั้งแบบชั้นเดียว และ 2 ชั้น ถ้าเป็นอะลูมิเนียมเนื้อดี จะมีตาไก่ที่รูซี่ลวด และมีความแข็งแรง แต่น้ำหนักเบา ถ้าดีขึ้นไปอีก ขอบล้อจะเคลือบด้วยวัสดุที่มีความแข็งเทียบเท่าความแข็งของเซรามิค ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เป็นรอยง่าย และเบรกได้ดีแม้ในสภาพลุยน้ำลุยโคลน วงล้อที่ประกอบมาจากโรงงาน ส่วนใหญ่ใช้เครื่องขันหัวซี่ลวดด้วยแรงลม จึงอาจไม่กลมหรือคดออกข้างนิดหน่อย เวลานำมาประกอบกับ ตัวถัง จักรยาน ก็อาจโย้ไปชิดตะเกียบด้านซ้ายหรือขวามากเกินไป สำหรับล้อที่เป็นวงรีมาก ผ้าเบรกอาจสีกับยางจนขาดทะลุเป็นแผลยาว หากคดออกข้างมากๆ ขอบล้อก็อาจไปเสียดสีกับผ้าเบรกด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งมีผลให้ความเร็วลดลง จึงควรหมั่นตรวจเช็ควงล้อบ่อยๆ หากพบอาการดังกล่าว ให้รีบนำไปให้ช่างปรับแต่งซี่ลวดโดยด่วน ซี่ลวดธรรมดาทำด้วยเหล็กชุบโครเมียม ส่วนซี่ลวดชั้นดีจะทำด้วยสแตนเลส หรือไททาเนียม ซึ่งมีตอนกลางของซี่ลวดเล็กกว่าส่วนปลายทั้ง 2 ข้าง จึงทำให้มีน้ำหนักเบา วงล้อที่ขันหัวซี่ลวดปรับแต่งจนซี่ลวดตึงเท่ากันทั้ง 2 ด้าน จะเกิดความแข็งแรงและไม่คดง่าย

7. ยางนอก (TIRE)

ยางนอกแบบวิบากของจักรยานภูเขา ที่ใช้กับล้อหน้า โดยทั่วไปมักจะมีดอกยางแตกต่างกับล้อหลัง จึงควรตรวจสอบดูอักษรบอกสภาพทาง และลูกศรชี้ทิศทางหมุน ที่บริเวณใกล้ขอบยางให้ดี ยางนอกที่ติดมากับจักรยานภูเขาราคาถูกและราคาปานกลาง จะเป็นยางเกรดซ้อมที่ใช้ในการขี่ท่องเที่ยวธรรมดา จะมีขอบเป็นลวดและพับไม่ได้ มีจำนวนเส้นไนล่อนน้อยและห่าง(ระดับ 26 T.P.I.) เนื้อยางหนา จึงมีน้ำหนักมาก และมักจะเติมลมยางได้เพียง 40-55 ปอนด์ หากเติมลมยางตึงมาก ยางนอกจะขยายตัวเกินขนาดเดิม จนยางในอาจรั่วซึมไปจนถึงขั้นปริแตก ส่วนยางชั้นดี จะเป็นยางเกรดแข่งขัน ซึ่งมีขอบเป็นใยสังเคราะห์แบบเหนียวพิเศษ(Kevlar) สามารถพับเก็บได้ มีจำนวนเส้นไนล่อนมากและถี่(ระดับ 60 T.P.I.) เนื้อยางบาง จึงมีน้ำหนักเบา และสามารถเติมลมยางได้ตึงเต็มที่ถึง 85 ปอนด์ และมักจะมีหน้ายางแคบกว่า 2 นิ้ว ยางที่ตึง หน้ายางจะสัมผัสผิวถนนน้อย จึงไม่ค่อยเกิดแรงเสียดทานกับผิวถนน ทำให้ได้ความเร็วเต็มที่ แต่สภาพถนนที่เปียกลื่น ทางลูกรัง และทางดินผิวร่วน ก็ควรปล่อยลมยางออกบ้าง เพื่อให้หน้ายางสัมผัสผิวถนนได้มากขึ้น ส่วนยางนอกที่นิยมใช้กับทางเรียบ คือ ยางสลิก(Slick) ซึ่งหน้ายางจะเรียบไม่มีดอกยาง มีแต่ร่องรีดน้ำตื้นๆไม่กี่ร่อง หน้ายางกว้างประมาณ 1.5 นิ้ว เนื้อยางบาง น้ำหนักเบา มีแรงเสียดทานน้อย จึงให้ความเร็วเพิ่มจนรู้สึกได้ชัดเจน แต่ไม่เหมาะที่จะใช้ในสภาพทางที่เป็น กรวด หิน ดินเหนียว โคลนเลน หรือทราย เพราะล้อจะฟรี และลื่นล้มง่ายมาก นอกจากนี้ยังมี ยางสลิกกึ่งวิบาก(Off Road Slick)รุ่นใหม่ ที่เพิ่งเป็นที่นิยม ซึ่งหน้ายางเรียบ มีเพียงลายกันลื่นเป็นตุ่มเล็กๆ แต่มีดอกยางแบบวิบากอยู่ที่ขอบยางด้านข้าง ซึ่งให้ความเร็วได้ดีกว่ายางวิบาก ทั้งในทางเรียบ และทางดินลูกรัง แต่ประสิทธิภาพในการตะกุยทาง ที่เป็นทรายหนาหรือโคลนเหลว จะต่ำกว่ายางวิบากทั่วไป และเนื่องจากไม่มีร่องดอกยางสำหรับบังคับเลี้ยวโดยตรง ในสภาพทางที่ลื่น จึงต้องใช้เทคนิคและความชำนาญ เข้าช่วยเป็นอย่างมาก ฉนั้น มือใหม่ที่จะหัดใช้ จึงควรเริ่มต้นเฉพาะล้อหลังก่อน และควรเลือกใช้เฉพาะสภาพทางที่เหมาะสม

8. ยางใน (INNERTUBE)

โดยทั่วไปนั้น มีน้ำหนักอยู่ในช่วง 145-200 กรัม การเลือกยางใน ก็ควรเลือกที่มีตัวเลขระบุขนาด ที่สามารถขยายตัวได้เท่ายางนอก หากตัวเลขระบุขนาดยางใน น้อยกว่าตัวเลขระบุขนาดยางนอก เมื่อสูบลมยางตึงเต็มที่ ยางในอาจฉีกขาดหรือรั่วซึม ส่วนยางในชนิดพิเศษ(Ultra-Light) ที่ทำจากPOLYURETHANE ซึ่งมีสีเขียวอ่อนนั้น เนื้อยางจะบางและเบามาก มีน้ำหนักเพียง 90 กรัมเท่านั้น และมีราคาแพงกว่า 2-3 เท่าตัว ซึ่งจะเหมาะกับการใช้ในสนามแข่งขัน แต่ไม่ค่อยเหมาะกับจักรยานที่ใช้ขี่ในการท่องเที่ยว หรือใช้ขี่ในชีวิตประจำวัน เพราะมีอัตราการซึม(Leak)สูง ซึ่งจะต้องเติมลมยางบ่อยๆ ทุก 4-5 วัน ควรเลือกยางในที่มีการอัดหัวจุ๊ปลูกศรที่หนาและแน่นพอควร หัวจุ๊ปลูกศรสำหรับเติมลมมี 2 แบบ คือ จุ๊ปเล็ก(French Valve) และ จุ๊ปใหญ่(American Valve) ถ้าเลือกใช้จุ๊ปเล็ก ก็ควรมีหัวต่อ(Adapter) สำหรับใช้กับหัวเติมลมยางรถยนต์ ติดตัวไปพร้อมกับเครื่องมือชุดเล็ก ซึ่งมีที่งัดยาง ชุดปะยาง และสูบลม รวมอยู่ด้วย

9. เบรก (BRAKE)

ตั้งแต่ปลายปี 1996 เป็นต้นมา V-Brake ได้หลั่งไหลออกสู่ตลาดอย่างมากมาย และเนื่องจาก V-Brake มีก้านเบรกยาว ประกอบกับการออกแบบให้แรงดึงจากสายเบรก(ฺBrake Cable) บีบหัวก้านเบรกจากทางด้านข้าง ซึ่งแรงดึงได้กระทำตรงกับทิศทางที่ก้านเบรกเคลื่อนที่ แรงจากสายเบรกจึงดึงก้านเบรกได้ทั้งหมด โดยไม่มีการสูญเปล่า จึงให้ประสิทธิภาพการเบรกสูงมาก แต่เนื่องจากต้องปรับตั้งหน้าผ้าเบรกของ V-Brake ให้ขนานและห่างขอบล้อเพียงประมาณ 2 ม.ม. เพราะช่วงดึงของมือเบรกสั้น ดังนั้น เมื่อวงล้อคดเพียงเล็กน้อย ก็มักจะเสียดสีกับผ้าเบรก ฉนั้น ในการปรับตั้งสายV-Brake จึงควรใช้มือคลายน็อตหัวมือเบรก ออกประมาณ 5-6 ร่องเกลียว เผื่อไว้เวลาวงล้อเกิดคดกระทันหัน ก็จะยังสามารถใช้มือหมุนน็อตหัวมือเบรกเข้าไปได้อีก 5-6 ร่องเกลียว ซึ่งมีผลเป็นการหย่อนสายเบรกลงอีก 5-6 ม.ม. และเท่ากับว่าสามารถคลายหน้าผ้าเบรก ให้ห่างขอบล้อได้อีกข้างละ 1-2 ม.ม. ส่วนเบรกรุ่นเก่ามีก้านเบรกสั้น แรงดึงจากสายเบรกดึงจากด้านบน แต่ก้านเบรกเคลื่อนที่จากด้านข้าง ซึ่งแรงดึงตั้งฉากกับทิศทางที่ก้านเบรกเคลื่อนที่ แรงบีบจากมือเบรกจึงดึงก้านเบรกได้ไม่ทั้งหมด เพราะมีการสูญเปล่าบางส่วน จึงให้ประสิทธิภาพการเบรกต่ำกว่า V-Brake สำหรับเบรกรุ่นเก่า ควรปรับตั้งหน้าผ้าเบรก ให้ห่างขอบล้อประมาณ 3-4 ม.ม. เพราะช่วงดึงของมือเบรกยาว และให้เปิดด้านหลัง(ท้าย)ของผ้าเบรกออกนิดหน่อย เพราะเวลาบีบมือเบรกแรงๆ ขอบล้อจะลากผ้าเบรกไปด้านหน้าเล็กน้อย ผ้าเบรกก็จะสัมผัสขอบล้อเต็มหน้าผ้าเบรกพอดี เวลาเบรกจะได้ไม่มีเสียงผ้าเบรกดัง และเนื่องจากเบรกรุ่นเก่าตั้งหน้าผ้าเบรก ค่อนข้างห่างจากขอบล้อ ดังนั้น เมื่อวงล้อคดนิดหน่อย จึงไม่ค่อยจะเสียดสีกับผ้าเบรก ฉนั้น ในการปรับตั้งสายเบรกรุ่นเก่า จึงควรคลายน็อตหัวมือเบรก ออกเพียง 2-3 ร่องเกลียวก็พอ และควรตั้งมือเบรก ให้หางมือเบรกชี้ลงจากแนวระนาบประมาณ 45 องศา

10. โช๊คอั๊พ (SHOCK ABSORBER)

ตะเกียบโช๊คอั๊พหน้า เป็นอุปกรณ์ที่สามารถนำมาใส่ แทนตะเกียบหน้าของจักรยานภูเขาได้ และเป็นอุปกรณ์ที่แทบจะไม่ทำให้สูญเสียแรงที่เหยียบบันได สำหรับจักรยานภูเขาชนิดธรรมดา มักนิยมใช้ตะเกียบโช๊คอั๊พหน้า ที่มีช่วงยุบตัวได้ตั้งแต่ 1.5, 2, 2.5 ถึง 3 นิ้ว ส่วนจักรยานภูเขาชนิดDOWNHILL ควรใช้ตั้งแต่ 3, 4, 5 ถึง 6 นิ้ว เพราะการกระแทกที่รุนแรงกว่า ทำให้ต้องการช่วงยุบตัวที่มากกว่า นอกจากนี้ จะต้องเลือกให้ตรงกับแบบและขนาดของชุดลูกปืนถ้วยคอ(AheadSet)ที่ท่อหน้าด้วย และมีข้อให้สังเกตุว่า หากโช๊คอั๊พหน้ามีช่วงยุบตัวมาก ก็จะทำให้ท่อบนซึ่งต่อเนื่องอยู่กับท่อหน้า ต้องยกตัวสูงตามไปด้วย และซังตะเกียบโช๊คอั๊พหน้าที่สอดผ่านท่อหน้าโผล่พ้นขึ้นมานั้น สามารถจะตัดให้เหลือสั้นหรือยาว เพื่อตั้งความสูงของคอแฮนด์ได้ด้วย ส่วนโช๊คอั๊พหลังนั้น โดยมากจะติดมากับจักรยานภูเขาชนิดDOWNHILL มีมากมายหลายแบบ และแทบทุกแบบ จะยืดหยุ่นตัวเมื่อใช้เท้าเหยียบบันได จึงมีผลให้แรงที่เหยียบบันไดต้องสูญเปล่าไปประมาณ 3-10 % ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบตัวถังของจักรยาน บวกกับคุณภาพของโช๊คอั๊พหลังแต่ละยี่ห้อ แต่โช๊คอั๊พหลังบางยี่ห้อ มีปุ่มล็อคไม่ให้ทำงาน(ยุบตัว) สำหรับเลือกใช้ในกรณีขี่ทางเรียบ การปรับความอ่อนแข็งของโช๊คอั๊พ ควรปรับตามน้ำหนักตัวของผู้ขี่เป็นหลัก และหากรู้สึกว่าโช๊คอั๊พทำงานผิดปกติ ก็ควรนำไปให้ช่าง ถอดออกมาตรวจสอบ สภาพลูกยาง(Elastomer) หรือซีลยาง(Seal)กันน้ำมันไฮดรอลิค หรือดูว่าแกนคดหรือไม่

11. ตีนผี (REAR DERAILLEUR)

เป็นอุปกรณ์ที่ต้องอาศัยความชำนาญในการปรับแต่ง จึงควรมอบให้เป็นหน้าที่ของช่างผู้ชำนาญ สำหรับตีนผียี่ห้อShimano เกรด Acera-X ขึ้นไปนั้น ถ้ากดมือเกียร์ไปที่เลข 1 แล้วโซ่ไม่ขึ้นไปที่เฟืองใหญ่สุด หรือเขี่ยมือเกียร์ปลดโซ่ลงไปที่เฟืองเล็กสุดแล้ว เห็นสายเกียร์หย่อน ก็อาจเป็นเพราะสายเกียร์ยืดตัวหรือไม่ตึงพอ ผู้ขี่พอจะแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ โดยการใช้มือหมุนตัวปรับที่ปลายสายเกียร์ด้านท้ายตีนผี ให้คลายออกทีละร่องเกลียว สลับกับกดมือเกียร์ให้ตีนผีทำงานกลับไปกลับมา จนโซ่เปลี่ยนตำแหน่งได้ทุกเฟืองเกียร์ และโซ่ไม่ควรเสียดสีกับเฟืองข้างๆ ถ้าคลายตัวปรับที่ปลายสายเกียร์ด้านท้ายตีนผีออก 7 ร่องเกลียวแล้ว สายเกียร์ยังตึงไม่ได้ที่ ก็ค่อยมาคลายตัวปรับที่ปลายสายเกียร์ด้านหัวมือเกียร์ หากยังไม่ตึงพออีก ก็ควรนำจักรยานไปหาช่างผู้ชำนาญ ส่วนกรณีที่กดมือเกียร์สุดด้านใดด้านหนึ่งแล้ว โซ่ตกออกนอกเฟืองเกียร์ ก็อาจเป็นเพราะน็อตคู่เล็กๆที่ท้ายตีนผี ซึ่งน็อตตัวบน(HIGH) ใช้ขันล็อคช่วงส่ายตัวของตีนผี ไม่ให้ดันโซ่ตกออกนอกเฟืองเล็กสุด(เกียร์สูง) ส่วนน็อตตัวล่าง(LOW) ใช้ขันล็อคไม่ให้ดันโซ่ตกออกนอกเฟืองใหญ่สุด(เกียร์ต่ำ) แต่ห้ามขันแน่นทั้งสองตัว เพราะจะบีบช่วงส่ายตัวของตีนผีให้เหลือแคบ จนตีนผีทำงานไม่ครบทุกเฟืองเกียร์ อนึ่ง ไม่ควรคลายตัวปรับที่หัวสายเกียร์เกิน 7 ร่องเกลียว เพราะอาจจะหักง่าย

12. สับจาน (FRONT DERAILLEUR)

เป็นอุปกรณ์ที่ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจ และความชำนาญในการปรับแต่ง มากกว่าอุปกรณ์ตีนผี จึงควรมอบให้เป็นหน้าที่ของช่างผู้ชำนาญโดยตรง แต่ถ้ากดมือสับจานไปที่เลข 1 แล้วโซ่ไม่ขึ้นไปที่ใบจานใหญ่ หรือเขี่ยมือสับจานไปที่เลข 3 เพื่อปลดโซ่ลงไปที่ใบจานเล็กแล้วเห็นสายสับจานหย่อน ก็อาจเป็นเพราะสายสับจานยืดตัวหรือไม่ตึงพอ ผู้ขี่พอจะแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ โดยการใช้มือหมุนตัวปรับที่หัวมือสับจาน ให้คลายออกทีละร่องเกลียว สลับกับกดมือสับจานให้สับจานทำงานกลับไปกลับมา จนโซ่เปลี่ยนตำแหน่งได้ทุกใบจาน(Chainring) และโซ่ไม่เสียดสีกับสับจาน แต่ถ้าปรับสายสับจานตึงเกินไป สับจานอาจดันโซ่ลงจานเล็กไม่ได้ ส่วนกรณีที่กดมือสับจานสุดด้านใดด้านหนึ่งแล้ว โซ่ตกออกนอกใบจาน ก็อาจเป็นเพราะน็อตคู่เล็กๆบนสับจาน ซึ่งน็อตตัวใน(HIGH) ใช้ขันล็อคช่วงส่ายตัวของสับจาน ไม่ให้ดันโซ่ตกออกนอกใบจานใหญ่(เกียร์สูง) ส่วนน็อตตัวนอก(LOW) ใช้ขันล็อคไม่ให้ดันโซ่ตกออกนอกจานเล็ก(เกียร์ต่ำ) แต่ห้ามขันแน่นทั้งสองตัว เพราะจะบีบช่วงส่ายตัวของสับจานให้เหลือแคบ จนสับจานทำงานไม่ครบทุกใบจาน สำหรับมือใหม่ ไม่ควรใช้ใบจานเล็กกับเฟืองเล็กสุด หรือใบจานใหญ่กับเฟืองใหญ่สุด ส่วนจานกลางก็ไม่ควรใช้กับเฟืองเล็กสุดหรือใหญ่สุด เพราะโซ่จะเบี่ยงตัวมากและยืดเร็ว การสับจานลงจานเล็ก ขณะที่โซ่ด้านท้ายอยู่ในเฟืองเล็ก หากมีการออกแรงเหยียบบันไดอย่างเต็มที่ อาจทำให้โซ่บิดตัวจนขาดได้ง่าย

13. สายเบรก สายเกียร์ สายสับจาน

หากใช้มานานๆ อาจมีผงทรายเข้าไปอยู่ในปลอกสาย หรือสายสลิงอาจเป็นสนิมและบาดผนังด้านในของปลอกสาย จนเกิดเป็นร่อง การใช้น้ำมันฉีดล้างปลอกสาย อาจช่วยได้ไม่กี่สัปดาห์ หากไม่ลื่นเหมือนเดิมก็ควรเปลี่ยนใหม่ เพราะราคาไม่แพง

เมื่อปรับแต่งแฮนด์และอานจักรยานภูเขา ได้พอดีกับช่วงแขนและขาของผู้ขี่ ก็จะเป็นพาหนะที่ช่วยให้สรีรของผู้เดินทาง อยู่ในท่าที่มีการเกลี่ยน้ำหนักตัวได้ดีกว่าพาหนะใดๆ เพราะมีการถ่ายน้ำหนักตัวไปลงที่ แฮนด์ อาน และบันได อย่างเหมาะสม ทำให้ไม่มีอาการปวดหลัง แทบทุกคนจึงสามารถขี่จักรยานภูเขาได้อย่างมีความสุขตลอดทั้งวัน

ป.ล. บทความนี้เคยนำลงในสื่อต่างๆ ดังนี้

  1. จดหมายข่าวของ ชมรม TCC (ต้นปี 2541)
  2. นิตยสาร JOG&JOY (ต้นปี 2541)
  3. http://www.thaimtb.com/cgi-bin/viewkatoo.pl?id=01173 (8 ก.ย. 2542)

เนื้อหาเหมาะทั้งสำหรับมือใหม่และมือไม่ใหม่ครับ

Comments

comments

Check Also

Mn/DOT Bikeway Facility Design Manual

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น